เมนู

วัชชีวรรคที่ 3


อรรถกถาสารันททสูตรที่ 1


วรรคที่ 3 สารันททสูตรที่ 1

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า สารนฺทเท เจติเย ได้แก่ในวิหารมีชื่ออย่างนั้น.
ได้ยินว่า เมื่อพระตถาคตยังไม่เสด็จอุบัติ สถานที่อยู่ของยักษ์
ชื่อสารันททะ ได้กลายเป็นเจดีย์. ครั้งนั้น ชนทั้งหลายได้พากัน
สร้างวิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่เจดีย์นั่นแล. บทว่า ยาวกีวญฺจ
แปลว่า ตลอดกาลเพียงไร. บทว่า อภิณฺหสนฺนิปาตา ความว่า ประชุม
กันวันละ 3 ครั้งก็ดี ประชุมกันเป็นระยะ ๆ ก็ดี ชื่อว่า ประชุมกัน
เนือง ๆ. บทว่า บทว่า สนฺนิปาตพหุลา ความว่า ชื่อว่า มากด้วยการประชุม
เพราะยุติกันไม่ได้ว่าทั้งวันวาน ทั้งในวันก่อน ๆ เราก็ประชุมแล้ว
เพื่อประโยชน์อะไรจึงประชุมกันวันนี้อีก. คำว่า วุฑฺฒิเยว ลิจฺฉวี
วชฺชีนํ ปาฏิกงฺขา โน ปริหานิ
ความจริงเจ้าลิจฉวี เมื่อไม่ประชุม
กันเนื่อง ๆ ย่อมไม่ได้สดับข่าวสาสน์อันมาในทิศทั้งหลายเลย.
แต่นั้นย่อมไม่ทราบว่า เขตแดนหมู่บ้านโน้น หรือเขตแดนนิคมโน้น
วุ่นวายกัน พวกโจรส่องสุมกันอยู่ในที่โน้น ฝ่ายพวกโจร ครั้นรู้ว่า
เจ้าทั้งหลายพากันประมาทแล้ว ก็โจรตีหมู่บ้านเป็นต้น ทำชนบท
ให้เสียหาย. ความเสื่อมเสียย่อมมีแก่เจ้าทั้งหลายด้วยอาการอย่างนี้.
แต่เมื่อประชุมกันเนือง ๆ ย่อมได้ฟังเรื่องนั้น ๆ จากนั้น ก็ได้ส่ง
กองกำลังไปกระทำการปราบศัตรู. แม้พวกโจรก็คิดว่า เจ้าทั้งหลาย
ไม่ประมาทแล้ว พวกเราไม่อาจเที่ยวไปโดยคุมกันเป็นพวก ๆ ดังนี้

แล้วก็พากันแตกหนีไป. เจ้าทั้งหลายจึงมีความเจริญด้วยอาการ
อย่างนี้. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า วุฑฺฒิเยว ลิจฺฉวี
วชฺชีนํ ปาฏิกงฺขา โน ปริหานิ.

ในบทว่า สมคฺคา เป็นต้นมีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. เมื่อสิ้นเสียงกลอง
เรียกประชุม พวกเจ้าวัชชี กระทำความบ่ายเบี่ยงว่า วันนี้เรามีกิจ
เรามีการมงคล ดังนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีความพร้อมเพรียงกันประชุม
อนึ่ง พวกเจ้าวัชชี พอได้สดับเสียงกลอง กำลังบริโภคอาหารก็ดี
กำลังประดับก็ดี กำลังนุ่งผ้าอยู่ก็ดี บริโภคอาหารได้ครึ่งหนึ่ง ประดับ
ตัวครึ่งเดียว กำลังนุ่งผ้าก็มาประชุม ชื่อว่าย่อมพร้อมเพียงกัน
ประชุม. อนึ่งพวกเจ้าวัชชี ประชุมคิดปรึกษากันทำกิจที่ควรทำแล้ว
แต่ไม่พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม ชื่อว่า ไม่พร้อมเพรียงกันเลิก
ประชุม. ด้วยว่าเมื่อพวกเจ้าวัชชี เลิกประชุมกันอย่างนี้ พวกเจ้า
วัชชีที่เลิกไปก่อน ย่อมมีปริวิตกอย่างนี้ว่า พวกเราได้สดับแต่เรื่อง
นอกประเด็นทั้งนั้น บัดนี้จักมีเรื่องวินิจฉัยกันดังนี้. อนึ่ง พวกเจ้าวัชชี
เมื่อพร้อมเพรียงกันเลิกประชุม ชื่อว่า ย่อมเป็นผู้พร้อมเพรียงกันเลิก
ประชุม.
อีกอย่างหนึ่ง เมื่อพวกเจ้าวัชชี สดับว่า คามสีมาหรือนิคมสีมา
ในที่ชื่อโน้นวุ่นวายหรือ มีพวกโจรส้องสุมดักปล้น กล่าวว่า ใคร
จักไปกระทำการปราบพวกศัตรู ดังนี้แล้วก็แย่งกันไปกล่าวว่า
เราก่อน เราก่อน ชื่อว่าเป็นผู้พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม. แต่เมื่อ
การงานของเจ้าวัชชีผู้หนึ่ง ต้องหยุดชงักลง พวกเจ้าวัชชีนอกนั้น
ต่างก็ส่งบุตรและพี่น้องชายไปช่วยเหลือ เจ้าวัชชีบ้าง พวกเจ้าวัชชี

ทั้งหมดอย่าได้พูดกะเจ้าผู้เป็นอาคันตุกะว่า จงไปเรือนของเจ้าวัชชี
โน้น จงไปเรือนของเจ้าวัชชีโน้น ดังนี้ ต่างพร้อมเพรียงกันสงเคราะห์
บ้าง เมื่อการมงคลก็ดี โรคก็ดี ก็หรือว่าเมื่อสุขทุกข์เช่นนั้นอย่างอื่น
เกิดขึ้นแก่เจ้าวัชชีคนหนึ่ง พวกเจ้าวัชชีทั้งหมด ก็พากันเป็นสหาย
ในการงานนั้นบ้าง ชื่อว่า ย่อมเป็นผู้พร้อมเพรียงช่วยกระทำกิจ
ที่เจ้าวัชชีควรกระทำ.
ในบทว่า อปฺปญฺญตฺตํ เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ พวก
เจ้าวัชชีเมื่อให้เก็บส่วยภาษีหรือค่าสินไหมที่ไม่ได้กระทำไว้ใน
กาลก่อน ชื่อว่า ย่อมบัญญัติข้อที่ยังไม่ได้บัญญัติ อนึ่ง พวกเจ้า
วัชชีเมื่อให้เก็บส่วยเป็นต้น เฉพาะที่มีอยู่ตามประเพณีโบราณ ชื่อว่า
ย่อมไม่ถอนข้อที่บัญญัติได้แล้ว. พวกเจ้าวัชชี ตัดสินพวกมนุษย์
ที่ถูกเจ้าหน้าที่จับมาแสดงว่าเป็นโจร สั่งลงโทษเสร็จเด็ดขาด
ชื่อว่า ถือวัชชีธรรมของเก่าปฏิบัติ. เมื่อพวกเจ้าวัชชีเหล่านั้น
บัญญัติข้อที่ไม่เคยบัญญัติไว้ พวกมนุษย์ผู้ถูกภาษีใหม่เอี่ยมเป็นต้น
บีบคั้นปรึกษากันว่า พวกเราถูกพวกเจ้าวัชชีเบียดเบียนเหลือเกิน
ใครเล่าจักทนอยู่ในแคว้นของพวกเจ้าเหล่านี้ได้ดังนี้แล้ว พากัน
อพยพไปยังปลายเป็นเป็นโจรบ้าง เป็นพวกของโจรบ้างพากันปล้น
ชาวชนบท. เมื่อเจ้าวัชชีเหล่านั้น ถอนข้อบัญญัติ ที่บัญญัติไว้แล้ว
ไม่เก็บส่วยเป็นต้น ที่มีอยู่แล้วตามประเพณี เรือนคลัง ย่อมเสื่อม
ลง ลำดับนั้น ชนทั้งหลาย มีพลม้า พลช้าง กองทหาร และ
นักสนม เป็นต้น เมื่อไม่ได้รับค่าจ้าง ที่เคยมีเป็นประจำ ย่อม
เสื่อมถอยจากเรี่ยวแรงและกำลัง. ชนเหล่านั้น ย่อมทนความเป็น

พลรบไม่ได้ อดทนต่อความปรนนิบัติมิได้. เมือเจ้าวัชชีทั้งหลาย
ไม่ยึดวัชชีธรรมของเก่าปฏิบัติ พวกมนุษย์ในแว่นแคว้น พากันโกรธ
ว่า เจ้าวัชชีทั้งหลาย ตัดสินบุตรบิดาของเรา ผู้ไม่เป็นโจรให้กลาย
เป็นโจรแล้ว ทำลายทรัพย์เสียดังนี้ ดังนี้แล้วพากันอพยพไปอยู่
ชายแดน เป็นโจรบ้าง เป็นพวกของโจรบ้าง พากันปล้นชนบท เจ้า
ทั้งหลายย่อมมีแต่ความเสื่อมด้วยอาการอย่างนี้ แต่เมื่อเจ้าวัชชี
ทั้งหลาย ไม่บัญญัติข้อที่มิได้บัญญัติไว้ พวกมนุษย์ต่างกันยินดี
ร่าเริงว่า เจ้าทั้งหลาย ทำตามข้อบัญญัติที่เคยมีมาแล้วตามประเพณี
เท่านั้น ดังนี้แล้ว ย่อมจัดแจงการงานมีกสิกรรมและพานิชยกรรม
เป็นต้น ให้สำเร็จผล เมื่อเจ้าวัชชีทั้งหลาย ไม่ถอนข้อที่บัญญัติไว้
เก็บภาษีเป็นต้น ที่เคยมีมาตามประเพณี เรือนคลังก็ย่อมเพิ่มพูน
แต่นั้น พลช้าง พลม้า พลเดินเท้า และนางสนมเป็นต้น เมื่อได้ค่าจ้าง
ตามที่มีเป็นประจำ ย่อมสมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรงและกำลัง ย่อม
อดทนต่อการรบ และอดทนต่อการปรนนิบัติบำรุง. เมื่อเจ้าวัชชี
ทั้งหลาย ยึดวัชชีธรรมของเก่าประพฤติ พวกมนุษย์ก็ไม่เพ่งโทษ
ต่อเจ้าทั้งหลาย ทรงกระทำตามประเพณีโบราณ พระองค์เองก็รักษา
นิติธรรม อันเสนาบดีและอุปราชผู้ฉลาดในประโยชน์รักษาแล้ว
ทรงให้สอนคัมภีร์ตามประเพณี ทรงให้ลงอาชญาที่เหมาะสมเท่านั้น
พวกเจ้าเหล่านี้ไม่มีความผิด พวกเราต่างหากมีครามผิด ดังนี้
แล้ว พากันไม่ประมาทกระทำการงานทั้งหลายจึงมีแก่ความเจริญ
ด้วยอาการอย่างนี้.

บทว่า สกฺกริสฺสนฺติ ความว่า เจ้าวัชชีทั้งหลาย เมื่อกระทำ
สักการะอย่างใดอย่างหนึ่ง แก่เจ้าวัชชีผู้ใหญ่เหล่านั้น จักกระทำ
แต่สิ่งทีดีเท่านั้น. บทว่า ครุกรสฺสนฺติ ความว่า จักเข้าไปตั้งความ
เคารพ กระทำ. บทว่า มาเนสฺสนฺติ ความว่าจักเป็นที่รักโดยความ
นับถือ. บทว่า ปูเชสฺสนฺติ ความว่า จักบูชาด้วยการบูชาด้วยสัจจะ
บทว่า โสตพฺพํ มญฺญิสสนฺติ ความว่า พวกเจ้าวัชชี ไปประพฤติ
วันละ 2 - 3 ครั้ง สำคัญถ้อยคำของเจ้าวัชชีผู้ใหญ่เหล่านั้นว่าฟัง
ควรเชื่อถือ. บรรดาเจ้าวัชชีเหล่านั้น เจ้าวัชชีเหล่าใดไม้ทำสักการะ
เป็นต้นแก่เจ้าวัชชีผู้ใหญ่ หรือไม่ไปปรนนิบัติเจ้าวัชชีผู้ใหญ่เหล่านั้น
เพื่อประโยชน์แก่การรับโอวาทอย่างนี้ เจ้าวัชชีเหล่านั้น เป็นอันเจ้า-
วัชชีผู้ใหญ่เหล่านั้นทอดทิ้งเสียแล้ว ไม่ให้โอวาท เพลินแต่
การเล่น ย่อมเสื่อมจากราชการ แต่เจ้าวัชชีเหล่าใด ย่อมปฏิบัติ
โดยประการนั้นอยู่ เจ้าวัชชีผู้ใหญ่ ย่อมบอกประเพณีโบราณ
แก่เจ้าวัชชีเหล่านั้นว่า กิจนี้ควรทำ กิจนี้ไม่ควรทำ แม้ถึงคราว
สงคราม ก็แสดงอุบายว่า ควรเข้าไปอย่างนี้ ควรออกอย่างนี้.
เจ้าวัชชีเหล่านั้น เมื่อถูกเจ้าวัชชีผู้ใหญ่โอวาทอยู่ ปฏิบัติตามโอวาท
ย่อมอาจดำรงประเพณีแห่งราชการ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า วุฑฺฒิเยว ลิจฺฉวี วชฺชีนํ ปาฏิกงฺขา ดังนี้.
บทว่า กุลิตฺถิโย ได้แก่หญิงแม่เรือนไม่สกุล. บทว่า กุลกุมาริโย
ได้แก่ ธิดาทั้งหลาย ของหญิงแม่เรือนเหล่านั้น. บทว่า โอกสฺส
หรือบทว่า ปสยฺห นี้เป็นชื่อของอาการคือการข่มขืนนั่นแล. บาลีว่า
โอกาส ดังนี้ก็มี. ในบทเหล่านั้น บทว่า โอกฺกสฺส แปลว่า ฉุดมา

คือคร่ามา. บทว่า ปสยฺห แปลว่า ครอบงำ คือ บังคับ ความจริง
เมื่อเจ้าเหล่านั้นกระทำอย่างนั้น มนุษย์ทั้งหลายในแว่นแคว้นก็โกรธ
ว่า ทั้งบุตรและพี่น้องในเรือนของพวกเรา ทั้งธิดาที่เราเช็ดน้ำลาย
และน้ำมูกเป็นต้น ออกหน้าเลี้ยงให้เจริญเติบโต เจ้าวัชชี
เหล่านั้น จับไปโดยพลการให้อยู่เสียในเรือนของตนอย่างนี้แล้ว
พากันไปชายแดนเป็นโจรบ้าง เป็นพรรคพวกของโจรบ้าง ปล้น
ชนบท. เมื่อเจ้าวัชชีไม่กระทำอย่างนั้น พวกมนุษย์ในแว่นแคว้น
เป็นขวนขวายน้อย กระทำการงานของตน ย่อมทำคลังหลวง
ให้เพิ่มพูน พึงทราบความเจริญและความเสื่อมในข้อนี้ ด้วยอาการ
อย่างนี้.
บทว่า วชฺชีนํ วชฺชีเจติยานิ ความว่า สถานที่ของยักษ์
อันได้นานว่า เจดีย์ อันเขาตกแต่งให้วิจิตรในแคว้นวัชชี ของเจ้า-
วัชชีทั้งหลาย. บทว่า อพฺภนฺตรานิ ได้แก่ตั้งอยู่ภายนอกพระนคร.
บทว่า ทินฺนปุพฺพํ กตปุพฺพํ แปลว่า ทีให้และกระทำมาแต่ก่อน
บทว่า โน ปริหาเปสฺสนฺติ ได้แก่ เจ้าวัชชีทั้งหลาย จักไม่ลดคง
กระทำตามที่เป็นอยู่แล้วนั้นแล. จริงอยู่ เมื่อเจ้าวัชชีทั้งหลายลด
พลีกรรมที่เป็นธรรม เทวดาทั้งหลายก็ไม่กระทำการอารักขา ที่
จัดไว้เป็นอย่างดี แม้เมื่อไม่อาจจะให้เกิดสุขที่ยังไม่เกิด ย่อมทำ
โรคไอ โรคศีรษะ เป็นต้น ที่เกิดแล้วให้กำเริบ เมื่อเกิดสงคราม
ก็ไม่เป็นพรรคพวกด้วย แต่เมื่อพวกเจ้าวัชชีไม่ลดพลีกรรม เทวดา
ทั้งหลายก็กระทำการอารักขาที่จัดแจงเป็นอย่างดี แม้เมื่อไม่สามารถ
จะให้เกิดสุขที่ยังไม่เกิดได้ ทั้งยังเป็นพรรคพวกคราวมีสงคราม

ด้วยเหตุนั้น พึงทราบความเจริญและความเสื่อมในข้อนี้ ด้วยประการ
ฉะนี้.
ในบทว่า ธมฺมิการรฺขาวรณคุตฺติ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. อารักขา
นี่แหละ ชื่อว่าป้องกัน เพราะป้องกันโดยประการที่สิ่งที่น่าปรารถนา
จะไม่มาถึง ชื่อว่าคุ้มครอง เพราะคุ้มครองโดยประการทีสิ่งน่า
ปรารถนาไม่เสียหาย ในอารักขานั้นการใช้กองกำลังห้อมล้อมรักษา
หาชื่อว่า ธรรมิการักขาวรณคุตติสำหรับบรรพชิตไม่. ส่วนการ
กระทำโดยประการที่คฤหัสถ์ทั้งหลาย ไม่แผ้วถางต้นไม้ในป่า
ใกล้วิหาร ชาวไร่ไม่ลงพืชเขาวิหาร ไม่จับปลาในสระใกล้วิหาร ชื่อว่า
ธรรมิการักขาวรณคุตติ บทว่า กินฺติ แปลว่า เพราะเหตุไรหนอ.
ในคำว่า ธมฺมิการกฺขาวรณคุตฺติ นั้นมีวินิจฉัยดังนี้.
เจ้าวัชชีผู้ไม่ปรารถนาการมาของพระอรหันต์ทั้งหลาย
ผู้ยังไม่มา ย่อมชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เมื่อ
บรรพชิต มาถึงแล้ว คนไม่กระทำการต้อนรับ ไปก็ไม่ยอมพบ
ไม่ทำการปฏิสันถาร ไม่ถามปัญหา ไม่ฟังธรรม ไม่ถวายทาน
ไม่ฟังการอนุโมทนา ไม่จัดแจงที่พักอาศัยให้ เมื่อเป็นเช่นนั้น
กิตติศัพท์ไม่ดีงาม ของเจ้าวัชชีเหล่านั้น ย่อมขจรไปว่า เจ้าชื่อโน้น
เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เมื่อบรรพชิตมาถึงแล้ว
ไม่ออกไปต้อนรับ ฯลฯ ไม่จัดแจงที่พักอาศัยให้. บรรพชิตทั้งหลาย
ได้ฟังดังนั้นแล้ว แม้ไปทางประตูเมือง ก็ไม่เข้าเมือง เมื่อเป็นเช่นนั้น
พระอรหันต์ ที่ยังไม่มาก็ไม่มา แต่ที่มาแล้ว เมื่ออยู่ไม่ผาสุก ผู้ที่
ไม่รู้แล้วมาก็ตั้งใจว่าจักอยู่จึงพากันมา ใครเล่าจักอยู่ได้ โดยการ

ไม่นำพาทั้งนี้ของพวกเจ้าเหล่านี้ แล้วก็พากันออกไป เมื่อเป็น
เช่นนี้ เมื่อพระอรหันต์ที่ยังไม่มา ก็ไม่มาที่มาแล้วก็อยู่เป็นทุกข์
ประเทศนั้นก็ชื่อว่า ไม่เป็นที่น่าอยู่สำหรับบรรพชิต. นั้น การ
อารักขาของเทวดาก็ไม่มี เมือการอารักขาของเทวดาไม่มี พวก
อมนุษย์ย่อมได้โอกาส อมนุษย์จะหนาแน่น ย่อมทำพยาธิที่ยัง
ไม่เกิดขึ้น บุญอันเป็นวัตถุแห่งการเห็นผู้มีศีล และถามปัญหา
เป็นต้นก็จะไม่มาถึง. โดยปริยายตรงกันข้าม ธรรมฝ่ายขาว (กุศล)
ตามที่กล่าวแล้ว ก็จะเกิดขึ้น เพราะเหตุนั้น พึงทราบความเจริญ
และความเสื่อมในเรื่องนี้ด้วยอาการอย่างนี้.
จบ อรรถกถาสารันททสูตรที่ 1

2. วัสสการสูตร


[20] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขา
คิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ ก็โดยสมัยนั้นแล พระเจ้าแผ่นดินมคธ
พระนามว่าอชาตสัตรูเวเทหีษุตร ทรงพระประสงค์จะยาตราทัพ
ไปย่ำยีชาววัชชี ท้าวเธอจึงตรัสอย่างนี้ว่า เราจักตัดเจ้าวัชชีผู้มีฤทธิ์
มีอานุภาพมากอย่างนี้ ๆ ให้ขาดสูญ ให้พินาศ ให้ถึงความย่อยยับ
ดับสูญ ครั้งนั้นแล พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตสัตรู-
เวเทหีบุตร จึงตรัสเรียกวัสสการพราหมณ์มหาอำมาตย์ของแคว้น-
มคธมาปรึกษาว่า ก่อนท่านพราหมณ์ เชิญท่านเข้าไปเฝ้าพระผู้-
มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ จงถวายบังคมพระบาทของพระผู้มี-
พระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้าตามคำสั่งของเรา จงทูลถามถึงความ
เป็นผู้มีพระอาพาธน้อย มีพระโรคเบาบาง กระปรี่กระเปร่า ทรงมี
กำลัง ความอยู่สำราญว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าแผ่นดิน
มคธพระนามว่าอชาตศัตรูเวเทหีบุตร ทรงถวายบังคมพระบาท
พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า ทรงทูลถามถึงความเป็นผู้มี
พระอาพาธน้อย มีพระโรคเบาบาง กระปรี่กระเปร่า ทรงมีกำลัง
ความอยู่สำราญ และจงกราบทูลอย่างนี้ว่า เข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตสัตรูเวเทหีษุตร ทรงพระ
พระสงค์จะยาตราทัพไปย่ำยีชาววัชชี ท้าวเธอตรัสอย่างนี้ว่า
เราจักตัดเจ้าวัชชีผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้ ๆ ให้ขาดสูญ
ให้พินาศ ให้ถึงความย่อยยับดับสูญ ดังนี้ ท่านจงสำเหนียกพระดำรัส
ที่พระมีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์นั้นไว้ให้ดี แล้วมาบอกแก่เรา